เทศน์ตามเนื้อผ้า
สํานวนสุภาษิตนี้ หมายถึง การสั่งสอนที่สอนตามรูปแบบตำราหรือตามแบบแผน โดยไม่มีการนำมาปรับปรุงดัดแปลงให้เข้ากับผู้ฟัง ก็จะทำให้ผู้ฟังเข้าใจได้ยาก
ที่มาของสํานวน –
สํานวนสุภาษิตนี้ หมายถึง การสั่งสอนที่สอนตามรูปแบบตำราหรือตามแบบแผน โดยไม่มีการนำมาปรับปรุงดัดแปลงให้เข้ากับผู้ฟัง ก็จะทำให้ผู้ฟังเข้าใจได้ยาก
ที่มาของสํานวน –
สํานวนสุภาษิตนี้ มีความหมายเหมือนกับ “น้ำกลิ้งบนใบบัว” หมายถึงคนที่มีจิตใจกลับกลอก ปลิ้นปล้อน พูดแก้ตัวไปเรื่อย
ที่มาของสํานวน เปรียบเปรยถึงน้ำที่กลิ้งอยู่บนใบบอน จะมีลักษณะเป็นก้อนดิ้นไปดิ้นมา ปัจจุบันมักถูกนำมาเปรียบเปรยกับสาวที่มีจิตใจไม่มั่นคง
สํานวนสุภาษิตนี้ หมายถึงเมื่อมีโอกาสดีที่ผ่านเข้ามา ให้รีบฉวยโอกาสอันนี้และเก็บเกี่ยวผลประโยชน์อย่างเต็มที่ ก่อนที่ช่วงเวลาดีๆนี้จะผ่านไป
ที่มาของสํานวน เปรียบเปรยถึงสมัยโบราณที่มีช่วงน้ำขึ้นและน้ำลง หากช่วงน้ำขึ้นก็ให้รีบตักน้ำมาตุนไว้ เนื่องจากเวลาน้ำลงจะตักน้ำได้ลำบากกว่า
สํานวนสุภาษิตนี้ หมายถึงการกระทำที่เป็นการขัดจังหวะของเหตุการณ์หนึ่งหรือขัดอารมณ์ของคนอื่น ที่มีผลกระทบรุนแรง ก็อาจส่งผลให้คนที่เข้าไปขัดจังหวะเกิดอันตรายขึ้นได้
ที่มาของสํานวน เปรียบเปรยถึงหากพายเรือผ่านแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวมากๆ เรือที่พายอาจต้านแรงไม่อยู่และเกิดล่มได้โดยง่าย สำนวนนี้บางครั้งก็เรียกว่า “น้ำเชี่ยวอย่าเอาเรือไปขวาง” จะมีความหมายในลักษณะหลีกเลี่ยงไม่เผชิญกับเหตุการณ์อันตรายนั้นๆ หรือรอให้เหตุการณ์นั้นสงบลงก่อน
สํานวนสุภาษิตนี้ มีความหมายเดียวกับคำว่า “ทีใคร ทีมัน” หมายถึงโอกาสของใครคนนั้นก็จะกระทำการได้เปรียบกว่าอีกฝ่าย แต่เมื่อถึงโอกาสของอีกฝ่าย ฝ่ายนั้นก็จะได้เปรียบบ้างเช่นกัน
ที่มาของสํานวน เปรียบเปรียถึงเมื่อมีน้ำท่วมมดก็จะจมน้ำและถูกปลากิน แต่หากน้ำแห้งปลาก็จะถูกมดกัดกินได้เช่นกัน
สํานวนสุภาษิตนี้ หมายถึงหญิงชายหากอยู่ใกล้ชิดกันบ่อยๆ ก็มีโอกาสที่จะชอบพอกันได้ มากกว่าอยู่ห่างกัน
ที่มาของสํานวน เปรียบเปรยถึงมดเป็นสัตว์ที่ชอบน้ำตาล หากมดอยู่ใกล้น้ำตาลแล้วก็อดไม่ได้ที่จะเข้าใกล้น้ำตาล ปัจจุบันสำนวนนี้มักเปรียบเปรยถึง คู่รักที่ห่างกันไป และไปเจอเพศตรงข้ามคนใหม่ที่ใกล้ชิดกว่า โอกาสที่จะนอกใจก็มีมากขึ้น
สํานวนสุภาษิตนี้ บางครั้งก็เรียกสั้นๆว่า “พูดเป็นน้ำท่วมทุ่ง” หมายถึงบุคคลที่พูดเยอะ แต่เนื้อหาที่เป็นสาระนั้นมีเพียงน้อยนิด
ที่มาของสํานวน –
สํานวนสุภาษิตนี้ หมายถึงบุคคลที่มีบุคลิกเงียบขรึมหรือสงบเสงี่ยมพูดน้อย แต่แท้จริงแล้วภายในมีความคิดที่ลึกฉลาดหลักแหลมมาก หรืออาจจะมีความคิดร้ายกาจมากได้เช่นกัน
ที่มาของสํานวน เปรียบเปรยถึงแม่น้ำที่บนผิวน้ำดูนิ่งๆไหลเอื่อยๆ แต่ลึกลงไปของแม่น้ำนั้นมีน้ำที่ไหลแรง
สํานวนสุภาษิตนี้ หมายถึงสิ่งบางอย่างที่มีพละกำลังหรือสิ่งของน้อยกว่า มักจะพ่ายแพ้กับพวกที่มีกำลังมากกว่า
ที่มาของสํานวน เปรียบเปรยถึงไฟที่ลุกโชนอย่างหนัก หากนำน้ำจำนวนน้อยเข้าไปดับ ก็ไม่สามารถดับไฟได้ สำนวนนี้ปัจจุบันเริ่มมีการนำมาใช้เปรียบเทียบกับสิ่งที่ดีๆ แต่มีส่วนน้อย มักจะพ่ายแพ้ต่อสิ่งเลวร้ายแต่มีจำนวนมากกว่า
สํานวนสุภาษิตนี้ หมายถึงคนสองคนต่างก็ต้องพึ่งพาอาศัยกันโดยได้ประโยชน์ร่วมกัน
ที่มาของสํานวน เปรียบเปรยถึงเรือหากจะลอยน้ำได้ก็ต้องมีน้ำมาหนุนเรือ และหากแม่น้ำไม่มีเรือวิ่งผ่านก็อาจไม่มีอ๊อกซิเจนในน้ำหรือแม้แต่หากมีการสัญจรทางน้ำ แม่น้ำลำคลองนั้นก็จะได้รับการดูแล หรือเสือก็ต้องมีป่าให้อยู่อาศัย และป่าเมื่อมีเสือก็จะมีวัฐจักรของป่าเกิดขึ้น